ผีจ้างหนัง ตำนานหลอน ในอดีตอันโด่งดัง แห่งคำชะโนด
ถ้าพูดถึงผีจ้างหนังป่าคําชะโนด เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินอย่างแน่นอน เพราะเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันมายาวนานมากกว่า 30 ปีแล้ว เรื่องราวของผีจ้างหนังต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวที่ทำให้ป่าคำชะโนด เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางนั่นเองสำหรับเรื่องราวของตำนานผีจ้างหนังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี พ.ศ 2532 แต่เรื่องราวตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วกลับถูกเล่าขานต่อเนื่องกันมาอย่างไม่ขาดสายจนทำให้กลายมาเป็นตำนานหนึ่งที่โด่งดังมากมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง และในบทความนี้จะมาเล่าถึงที่มาเกี่ยวกับตำนานนี้ให้ได้รู้จักกันนั่นเอง
เว็บอัพเดทข่าวสารที่เกี่ยวกับโชคลาภที่ดีที่สุดสำหรับคุณ นงน้อย.com
ผู้ว่าจ้าง
ในวันที่ 29 ม.ค. 2532 ในวันนั้นมีคนมาว่าจ้างบริษัทหนังแห่งหนึ่ง ให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่ดินแดนคำชะโนด ภายในหมู่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานีโดยตกลงค่าจ้างไว้ที่ 4,000 บาท ซึ่งจะมีหนังฉายทั้งหมด 4 เรื่องด้วยกัน แต่ว่ามีสัญญาพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือให้ฉายหนังถึงแค่ตี 4 เท่านั้นห้ามฉายจนถึงสว่างเด็ดขาด และพอฉายหนังจบ ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานตรงนั้นก่อนฟ้าสาง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของบริษัทหนัง เพราะโดยปกติแล้วเวลาที่ไปฉายหนังที่อื่นชาวบ้านก็มักจะให้ฉานหนังจนสว่างทุกเจ้า แต่เจ้าของบริษัทนั้นก็เห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้างจึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผลแต่อย่างใด เมื่อตกลงกันแล้วเสร็จผู้ว่าจ้างก็ได้มัดจำเงินเอาไว้ 500 บาทแล้วก็ตกลงจะจ่ายส่วนที่เหลือให้หลังจากที่ฉายหนังเสร็จเป็นจำนวนเงิน 3,500 บาทนั่นเอง
วันฉายหนัง
เมื่อถึงวันนัดหมายที่จะฉายหนังกลางแปลง ทางบริษัทก็ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ไปยังสถานที่นัดหมายตามเวลา ซึ่งกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว และเมื่อพนักงานฉายหนังได้เดินทางไปถึงสถานที่ที่นัดหมายเอาไว้ ก็กลับต้องเจอเรื่องแปลกใจว่าทำไมพื้นที่แห่งนี้ไม่มีใครอยู่เลยแถมยังมีลักษณะเป็นป่าทึบ แม้แต่พื้นที่ที่จะใช้สำหรับตั้งจอหนังยังแทบจะไม่มีเลย ซึ่งพนักงานชายต่างสงสัยว่าผู้คนในละแวกนี้หายไปไหนกันหมด หรือว่าพวกชาวบ้านไม่รู้ข่าวว่ามีหนังมาฉาย เพราะโดยปกติแล้วเวลาที่พวกเขาเอาหนังกลางแปลงไปฉายที่ไหน ก็จะมีร้านค้าร้านอาหารของชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ พากันมาเปิดร้านขายของกันอย่างคึกคักตั้งแต่จอหนังยังไม่ได้กาง แต่การมาฉายหนังในครั้งนี้กลับไม่มีเลย แถมบรรยากาศโดยรอบยังดูเยือกเย็นไปหมด
เริ่มฉายหนัง
จนกระทั่งถึงเวลาเริ่มฉายหนังตอนสามทุ่ม ที่นัดหมายกันไว้จู่ๆ ก็เริ่มมีคนเดินเข้ามาดูหนังเป็นจำนวนมาก สักพักพนักงานกลับเริ่มรู้สึกถึงความแปลก เพราะว่าการฉายหนังในครั้งนี้คนที่เข้ามาดูหนังกลางแปลงครั้งนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงจะเป็นผู้หญิงที่นุ่งขาวห่มขาวทุกคนส่วนผู้ชายจะนุ่งเสื้อผ้าสีดำ และชาวบ้านผู้หญิงที่นุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ทางขวาทั้งหมด ส่วนผู้ชายที่ใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอยู่อีกฝั่งที่ตรงกันข้าม โดยที่จะไม่มีการนั่งปะปนกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายเลยแม้แต่คนเดียว และสิ่งที่แปลกมากไปกว่านั้นอีกก็คือคนทั้งหมดที่มานั่งดูหนังในครั้งนี้ ต่างก็จะนั่งดูหนังกันอย่างเงียบสงบไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนกับการฉายหนังกลางแปลงในที่อื่นๆเลย ในช่วงฉายหนังบู๊ก็นั่งดูกันอย่างเงียบๆ ฉายหนังตลกก็นั่งดูกันอย่างเงียบสงบไม่มีเสียงหัวเราะหรือว่าเสียงพูดคุยเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งดูเป็นเรื่องที่แปลกมาก แต่ถ้าพนักงานฉายหนังพยายามที่จะไม่คิดอะไรมาก และได้ทำการฉายหนังต่อไปตามสัญญาจนกระทั่งถึงเวลาตีสี่ ก็ได้มีคนเดินมาบอกกับพนักงาน ว่าให้รีบเก็บข้าวของออกไปได้แล้วแล้วก็จ่ายเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือให้กับพนักงาน พร้อมกับสั่งกำชับกับพนักงานว่าเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้วให้ออกไปโดยทันที และห้ามหันหลังกลับมามองตรงจุดที่ฉายหนังโดยเด็ดขาดหลังจากที่สั่งกำชับกับพนักงานฉายหนังเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เดินจากไปพร้อมกับผู้คนจำนวนมากที่เมื่อสักครู่นี้ ยังนั่งดูหนังกันแบบนิ่งๆอยู่เลย โดยที่ผู้คนทั้งหมดได้เดินทางกลับเข้าไปในป่าภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง ทำเอาพนักงานต้องแปลกใจกันอีกรอบ ทางเจ้าหน้าที่ฉายหนังก็เก็บของแล้วก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยและได้รีบออกเดินทางจากสถานที่ตรงนั้นทันที พอฟ้าเริ่มสว่างพนักงานจึงได้พากันขับรถไปยังหมู่บ้านวังทอง และได้แวะซื้อของที่ร้านค้าในหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านเห็นรถหนังก็เลยถามกับพนักงาน ว่าเมื่อคืนไปฉายหนังที่ไหนกันมา ซึ่งพนักงานฉายหนังก็ได้ตอบกลับไป ว่าฉายอยู่ในหมู่บ้านวังทองนี้แหละ แต่ว่าชาวบ้านกลับทำหน้างงๆ ใส่พนักงาน เพราะว่าไม่มีใครรู้เลยว่ามีหนังมาฉายภายในหมู่บ้าน ซึ่งทั้งชาวบ้านแล้วก็พนักงานต่างก็งงกัน ว่าตกลงเอาไปฉายหนังที่ไหนกันมา โดยพนักงานก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับชาวบ้านฟัง จนในที่สุดเมื่อซักถามกันจนเป็นที่เข้าใจแล้วพนักงานได้รับคำตอบจากชาวบ้านว่าสถานที่ที่พวกเขาไปฉายหนังกันมาเมื่อคืนนั้นตรงจุดนั้นเขาเรียกว่าป่าคำชะโนด ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นเมืองของพญานาคแล้วก็มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆกับหมู่บ้านวังทอง เมื่อพนักงานฉายหนังได้ยินก็ตกใจ และได้กลับไปเล่าให้กับเจ้าของบริษัทฟังพร้อมลาออกกันทั้งหมด ทำให้เจ้าของบริษัทแปลกใจจึงเดินทางมาหาข้อพิสูจน์นั่นเอง
ตามหาหลักฐาน
เมื่อทางเจ้าของบริษัทได้เดินทางมายังหมู่บ้านวังทองแล้ว ก็ได้ทำการไปดูที่ป่าคำชะโนด พอเห็นสถานที่แล้วมันเป็นป่าที่อยู่กลางน้ำเป็นที่ที่มาสามารถเข้าไปถึงได้เลย ทางเจ้าของบริษัทจึงได้สอบถามชาวบ้านว่าได้มีการมาฉายหนังแถวนี้ไหม ซึ่งชาวบ้านตอบว่าไม่มีการมาฉายหนังแต่อย่างใด ทางเจ้าของจึงคิดว่าพนักงานอาจจะไปฉายผิดที่หรือไม่ก็ไม่ได้ทำการฉายหนัง เขาเลยได้กับไปที่ป่าคำชะโนดอีกครั้งเพื่อหาหลักฐาน และสิ่งที่เขาพบเจอนั้นก็คือลอยล้อรถ ที่ขนอุปกรณ์ในการฉายหนังวิ่งตรงเข้าไปในป่าคำชะโนดจริง แต่ลอยล้อลอยรถได้หาไปในระหว่างทางที่เป็นน้ำกั้นซึ่งทำให้ เรื่องราวนี้ถูกบอกเล่าในนิตยาสารดังในตอนนั้น พร้อมทั้งหลักฐานในการว่าจ้างและอื่นๆอีกมากมาย จนกลายมาเป็นเรื่องราวเล่าต่อกันมาจนเป็นตำนานผี จ้างหนังในทุกวันนี้นั่นเอง
สรุป
ตำนานผี จ้างหนังเป็นเรื่องราวที่บริษัทหนังแห่งหนึ่งถูกผู้คน จ้างให้ไปฉายหนังในสถานที่แปลกๆ และก็พบกับสิ่งแปลกๆที่ทำให้เกิดความสงสัยกับหลายคนที่พบเจอกับเรื่องราวนี้ และกลายเป็นว่าสถานที่ตรงนี้ที่เรียกว่าป่าคำชะโนดไม่มีผู้คนอาศัยอยู่และเป็นป่าที่คนในหมู่บ้าน เชื่อว่าเป็นที่อาศัยของพญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จนกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่ากันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสถานที่ตรงนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ที่คนเข้าไปสักการะบูชาขอพรกับพญานาคตามความเชื่อของเหล่าคนที่ศรัทธาในสิ่งลี้ลับ และขอพรจนได้สมดังใจปรารถนาก็มีมากมายเช่นกัน และปัจจุบันก็เป็นสถานที่ที่คนไปมากที่สุดต้นๆของประเทศไทยเลยนั่นเอง
ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติ ตำนาน ความเชื่อ และโชคลาภอีกมากมาย ท่านสามารถติดตามที่จากเว็บนี้