ตำนาน คำสาปแห่งเกาะลังกาวี
ถ้าพูดถึงคำสาปเชื่อว่าเรื่องราวแบบนี้ หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆมากมาย ซึ่งในบทความนี้จะมาเล่าถึงหนึ่งคำสาปที่โด่งดังมากในประเทศไทยแล้วก็ประเทศมาเลเซียเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว นั่นก็คือเรื่องราวของคำสาปแห่งเกาะลังกาวีนั่นเองซึ่งเรื่องราวของคำสาปนี้ จะมีที่มาที่ไปยังไงแล้วคำสาปนี้มาเกี่ยวกับประเทศไทยได้อย่างไรสามารถติดตามได้ในบทความนี้ได้เลย
นงน้อย.com เว็บอัพเดพข่าวสาร เกี่ยวกับเรื่องโชคลาภ
เกาะลังกาวี
เกาะลังกาวีตั้งอยู่ในทะเลอันดามันใกล้ฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศมาเลเซีย ห่างจากเกาะตะรุเตาจังหวัดสตูลของประเทศไทยเพียงแค่ 4 กิโลเมตรเท่านั้นอดีตเคยเป็นดินแดนของไทรบุรีแห่งอาณาจักรสยาม ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัชกาลที่ 5 เสียดินแดนส่วนนี้ไปให้กับประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเกาะลังกาวีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามระดับโลกและได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางอุทยานธรณีในปี พ.ศ. 2550 เนื่องจากเกาะแห่งนี้มีระบบนิเวศและแหล่งโบราณคดีที่งดงามเพียบพร้อมไป ทั้งป่าเขาถ้ำน้ำตกลำธารทะเลสีครามและหาดทรายที่ขาวสะอาดแต่ทว่าในอดีตของเกาะแห่งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เพราะหาดทรายหลายจุดบนเกาะไม่ได้เป็นสีขาวแต่กลับเป็นสีดำแทน และเกาะแห่งนี้ยังต้องประสบกับภัยแล้งปัญหาน้ำท่วมและการบุกปล้นสะดมของเหล่าโจรสลัดมายาวนานเกือบ 200 ปี ซึ่งเชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากการตำนานของคำสาปของพระนางมัสสุหรีนั่นเอง
พระนางมัสสุหรี
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาประมาณ 200 ปีก่อนมีครอบครัวของพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยได้มาสร้างกระท่อมเล็กๆ อาศัยอยู่ใจกลางเกาะลังกาวีซึ่งเป็นป่ารกทึบเนื่องจากครอบครัวนี้ไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากชนพื้นเมืองบนเกาะสักเท่าไร ครอบครัวนี้มีลูกสาว 1 คนชื่อว่ามัสสุหรี นางเป็นเด็กที่ขยันมีความซื่อสัตย์เชื่อฟังพ่อแม่และที่สำคัญเธอไม่เคยพูดโกหกเลย พอโตเป็นสาวเธอก็เป็นหญิงสาวที่สวยงามที่สุดบนเกาะลังกาวีความงามและความมีน้ำใจของเธอดังกระฉ่อนไปถึงหูโอรสของสุลต่านผู้ปกครองเกาะแห่งนี้ มีอยู่วันหนึ่งเจ้าชาย ได้ปลอมตัวเป็นขอทานเดินเข้าไปขอข้าวขอน้ำที่หน้าบ้านของนางมัสสุหรี ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่พระนางมัสสุหรีมักจะชวนขอทานหรือคนยากไร้ที่เดินผ่านมา ให้เข้ามาในบ้านเพื่อพูดคุยและให้ทานเป็นข้าวปลาอาหารอยู่เสมอเมื่อเจ้าชายปลอมตัวเป็นขอทานเข้ามานางก็ต้อนรับ นำน้ำนำข้าวปลาอาหารให้สุลต่านในคราบของขอทานได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ ทำให้เจ้าชายซาบซึ้งในความมีน้ำใจของนางเป็นอย่างยิ่ง เจ้าชายทำแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งทั้งสองคนเกิดความรักต่อกัน โดยที่พระนางมัสสุหรีไม่เคยรู้เลยว่าชายที่รักอยู่นั้นคือรัชทายาทผู้ปกครองเกาะลังกาวี เมื่อเจ้าชายมั่นใจแล้วว่าพระนางมัสสุหรีคือหญิงที่รัก เขาจึงตัดสินใจไปบอกกับพระมารดาให้ช่วยไปสู่ขอนางมัสสุหรี ซึ่งพอพระมารดาได้รู้ว่านางมัสสุหรีเป็นเพียงคนทั่วไปที่อพยพมาไม่มีหัวนอนปลายเท้าพระนางก็ไม่ยอม ซึ่งทางเจ้าชายก็ไม่ยอมเช่นกัน เขาจึงยื่นคำขาดกับพระมารดาว่าหากพระมารดาไม่ไปสู่ขอนางมัสสุหรีให้ผเขาจะปิดชีพตนเอง พระมารดาจึงต้องจำยอมไปสู่ขอนางมัสสุหรีให้กับเจ้าชาย แต่พระมารดาก็มีความอาฆาตพยาบาทนางมัสสุหรีเป็นอย่างมาก จึงคิดพยายามจะกำจัดอยู่ตลอดเวลาถ้ามีโอกาส พิธีอภิเษกสมรสเกิดขึ้นท่ามกลางความชื่นชมของชาวเกาะลังกาวีเนื่องจากพระนางมัสสุหรีเป็นมเหสีที่สวย แล้วก็มีน้ำใจเป็นอย่างมากเป็นที่รักของคนทั่วไปยกเว้นก็แต่พระมารดาของเจ้าชาย เมื่อเวลาผ่านไปจนพระนางมัสสุหรีตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมาเป็นบุตรชาย และหลังจากคลอดบุตรออกมาได้เพียง 3 วันทางเจ้าชายก็ต้องไปทำศึกสงคราม และได้มอบหมายให้องครักษ์คู่ใจซึ่งเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กให้มาช่วยรับใช้พระนางมัสสุหรีตอนตนไม่อยู่ แต่ด้วยความเกลียดชังของพระมารดาที่มีต่อพระนางมัสสุหรี ทันทีที่เจ้าชายอกเรือไปพระมารดาก็สั่งให้ข้าทาสบริวารทั้งหมดหยุดทำงาน และสั่งให้พระนางมัสสุหรีทำงานทั้งหมดเพียงคนเดียวซึ่งพระนาง ก็ไม่คิดจะต่อต้านยอมทำตามคำสั่งของพระมารดาแต่โดยดีหวังจะชนะใจแม่สามีให้ได้ พระนางต้องทำงานหนักมากๆ จนองครักษ์ทนดูไม่ได้จึงขอช่วยเหลือ ซึ่งทำให้พระมารดาไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงคิดจะกำจัดทั้งสองคนด้วยการสั่งให้บริวารไปเฝ้าดู และคอยจับผิดหาเรื่องใส่ร้ายพระนางมัสสุหรีให้ได้จนกระทั่งวันหนึ่ง พระนางเอาผ้าคลุมฮิญาบหรือผ้าคลุมศีรษะยื่นให้แก่องครักษ์เพื่อเช็ดหน้า ในขณะที่กำลังทำงานหนัก พอบริวารของพระมารดาเห็นเข้าจึงนำเรื่องนี้ไปรายงานพระมารดา พอพระมารดาได้ยินก็ได้ให้ทหารไปจับตัวทั้งคู่มาและประกาศว่าทั้งสองเป็นชู้กัน
คำสาปของพระนางมัสสุหรี
เมื่อทั้งสองถูกจับมาก็ได้ถูกตัดสินโทษประหาร ซึ่งองครักษ์ถูกประหารโดยการให้ลงไปนอนในหลุมแล้วเอาก้อนหินปาใส่จนกว่าจะตาย ส่วนพระนางมัสสุหรีถูกนำตัวไปมัดไว้กับต้นไม้ และก็โดนเพชฌฆาตใช้กริชแทงหลายครั้งแต่แทงเท่าไหร่ก็แทงไม่เข้าพระนาง จึงกล่าวว่าต้องเป็นกริชประจำตระกูลของนางเท่านั้นจึงจะฆ่านางได้และกริชนั้นก็อยู่ที่บ้านพ่อแม่ของนาง พระมารดาจึงสั่งให้เพชฌฆาตไปเอากริชประจำตระกูลของนางมา และก่อนที่เพชฌฆาตจะลงมือประหารนั้น พระนางมัสสุหรีก็กล่าวด้วยเสียงดังว่าฟ้าดินเป็นพยานข้านี้ถูกใส่ร้ายถ้าไม่เคยคบชู้สู่ชายแต่อย่างใดหากข้าไม่ผิดขอให้โลหิตกลายเป็นสีขาว และอย่าให้โลหิตข้าหลังลงพื้นดิน เมื่อสิ้นคำกล่าวของพระนางมัสสุหรีเพชฌฆาตก็ลงมือฝังกริชลงที่คอ เสียงร้องของพระนางดังไปทั่วเกาะลังกาวี ทันใดนั้นเลือกสีขาวของนางก็ไหลออกมา และไม่ตกลงพื้นเลยแม้แต่หยดเดียว และก่อนที่พระนางจะสิ้นใจนางได้ขอกอดลูกและขอให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้าย แต่พระมารดาไม่ยอม พระนางมัสสุหรีจึงขอให้พ่อแม่ของตนเอากล้วยน้ำว้าป้อนลูกของตนแทนนม และได้สาปแช่งว่าหากข้าเป็นผู้บริสุทธิ์มันผู้ใดที่อยู่บนเกาะลังกาวีแห่งนี้จงประสบแต่ทุกข์เข็ญยาวนานไป 7 ชั่วโคตร แล้วพระนางก็สิ้นใจไปในที่สุดนั่นเอง
ถอนคำสาป
ต่อมาเมื่อเจ้าชายกลับมายังเกาะ ก็แทบไม่ค่อยพบผู้คนเลยเจ้าชายจึงไปหาพระนางมัสสุหรีที่บ้านของพ่อตากับแม่ยาย พอไปถึงบ้านของพ่อตาแม่ยายก็เห็นแต่ลูกจนได้ทราบความจริงว่านางได้ถูกแม่ของตนประหารชีวิตไปแล้ว เจ้าชายอย่าเสียใจ จึงตัดสินใจสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์แล้วหอบลูกพร้อมกับกริชที่ใช้ฆ่าพระนางมัสสุหรีกลับไปยังบ้านเกิดของนางนั่นก็คือภูเก็ต และไม่กลับไปเหยียบเกาะลังกาวีอีก ต่อมาพระมารดาเมื่อสิ้นชีวิตไป พระศพของนางก็ไม่สามารถฝังที่ใดบนเกาะลังกาวีได้เลยฝังลงไปตรงไหน ทรายก็จะดันศพขึ้นมาเสมอจึงต้องทำพิธีบนบานกับสุสานของพระนางมัสสุหรี จึงสามารถนำศพไปฝังบริเวณหาดทรายได้ แต่ทว่าเมื่อฝังร่างของนางลงไปแล้วสีของหาดทรายตรงจุดนั้น ก็แปรเปลี่ยนจากทรายสีขาวกลายเป็นหาดทรายสีดำขึ้นมาทันที นับจากนั้นคนบนเกาะลังกาวีก็ไม่เคยพบกับความสุขอีกเลยยาวนานมากเกือบ 200 ปี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2529 มหาเธร์โมฮัมหมัดนายกรัฐมนตรีมาเลเซียขณะนั้นต้องการจะเปลี่ยนแปลงเกาะลังกาวีที่ เชื่อว่าต้องคำสาปของพระนางมัสสุหรีอยู่ จึงได้พยายามค้นหาทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางเพื่อที่จะแก้คำสาปจนกระทั่งได้พบว่ามีผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนาง ซึ่งอาศัยอยู่ที่ภูเก็ตประเทศไทย มีชื่อว่าศิรินทรายายีหรือเมย์เกิดวันที่ 8 เดือน 8 ปีพ.ศ 2528 แรม 8 ค่ำ มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางมัสสุหรีจริงๆไม่ว่าจะเป็นกริชประจำตระกูลรูปภาพและบรรพบุรุษ ทางรัฐบาลมาเลเซียจึงได้เชิญทายาทรุ่นที่ 7 ไปทำพิธีถอนคำสาปแห่งเกาะลังกาวีในปี พ.ศ. 2543 จนเป็นข่าวโด่งดังมากๆ และหลังจากนั้นเกาะลังกาวีก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆของโลกอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้นั่นเอง
สรุป
ตำนาน คำสาปแห่งเกาะลังกาวีเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่แต่มีหลักฐานมากมายที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่าเรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากมีการแก้คำสาปแล้วเกาะลังกาวีก็เจริญขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นสถานที่ท้องเที่ยวลำดับต้นๆของโลกในปัจจุบันนี้นั่นเอง
ยังมีเรื่องราวอื่นๆเกี่ยวกับความเชื่อและความศรัทธา ซึ่งท่านสามารถติดตามที่จากเว็บนี้