ตำนานพญาครุฑ เจ้าเวหา มหาอำนาจคู่บารมี

ตำนานพญาครุฑ เจ้าเวหา มหาอำนาจคู่บารมี

ถ้าพูดถึงพญาครุฑตาม ตำนานปกรณัมของอินเดียหรือว่าวรรณคดีหลายๆเรื่อง เชื่อว่าครุฑถือว่าเป็นสัตว์เทวะเหมือนกันกับพญานาค ซึ่งตามคติของไทยโบราณเชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกทั้งปวง จะอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาลมีความแข็งแรง รวดเร็ว และมีสติปัญญาเฉียบแหลม ซึ่งยังเป็นพาหนะของพระนารายณ์อีกด้วย ในประเทศไทยเราถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทยมากตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากไทยเราได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเทวราชของอินเดียนั่นเอง และในบทความนี้จะมาเล่าถึงความเป็นมาของพญาครุฑให้ได้รัยรู้เรื่องราวตำนานต่างๆมากขึ้นนั่นเอง

นงน้อย.com เว็บอัพเดพข่าวสาร เกี่ยวกับเรื่องโชคลาภ

ตำนานการกำเนิดพญาครุฑ

ตำนานพญาครุฑ จากคำบอกเล่าของท่านประสาททองอร่ามหรือที่รู้จักกันดีในนามของครูมืดซึ่งท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยจากกรมศิลปากรณ์ ซึ่งท่านได้บรรยายไว้ทั้งในรูปแบบของตัวอักษร แล้วก็รูปแบบวีดีโอ เมื่อเราพูดถึงครุฑกับนาค ก็จะทราบดีว่าทั้งสองเป็นศัตรู ตึความจริงแล้วครุฑกับนาคเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะว่าแม่ของครุฑกับแม่นาคเป็นพี่น้องกันนั่นเอง ครับและทั้งสองก็มีบิดาคนเดียวกัน ก็คือพระกัศยปเทพบิดร เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อพระทักษะประชาบดีได้ยกสาวงาม 13 นาง ให้กับพระกัศยปเทพบิดร ซึ่งเป็นฤาษีที่มีฤทธิ์เดชมาก และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายๆองค์ ซึ่งในบรรดามเหสีของจะมีอยู่ 2 องค์ที่มีชื่อว่านาวินตาและนางกัทรุ โดยทั้งสองคนพยายามที่จะแก่งแย่งชิงดีกันมาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งมเหสีทั้งสองคนอยากเป็นคนโปรดของสามี จึงคิดจะมีลูกและได้ไปขอพรกับสามีที่เป็นฤาษีที่มีฤทธิ์เดชมาก ซึ่งสามีก็ไม่ปฏิเสธจึงให้ทั้งสอง ขอพรได้คนละข้อ ฝ่ายนางกัทรุขอพรให้มีบุตรสัก 1,000 แต่ว่าไม่ได้ระบุสรรพนาม ส่วนนางวินตา ขอพรให้มีบุตรเพียงแค่ 2 เท่านั้น แต่ว่าบุตรทั้งสองนี้จะต้องมีอิทธิฤทธิ์ และพละกำลังมหาศาลมากกว่าบุตรทั้ง 1,000 ของนางกัทรุ ซึ่งเวลาผ่านไปนางกัทรุก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ 1,000 ฟอง ส่วนนางวินตาก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ 2 ฟอง พอเวลาผ่านไป 500 ปี ไข่ทั้ง 1,000 ของนางกัทรุก็ออกมาเป็นพญานาค 1,000 ตนซึ่งทั้ง 1,000 ตนก็มีอิทธิฤทธิ์ที่แกร่งกล้ามาก ทั้งด้านของนางวินตาที่มีไข่ 2 ใบก็ยังไม่ฝักสักทีจนผ่านไป 500 ปีแล้วก็ยังไม่ฟักด้วยความสงสัยความอยากรู้อยากเห็นของนายวินตา นางจึงได้ทุบไข่ 1 ใบพอไข่นั้นแตกออกก็ปรากฏมีเทพผู้มีอิทธิฤทธิ์มาก ออกมาแต่มีลำตัวเพียงครึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะว่าเกิดก่อนกำหนด โดยเทพตรงนี้มีชื่อว่าอรุณเทพบุตร ซึ่งจะกลายมาเป็นพระอรุณที่เรารู้จักกันนั่นเอง ซึ่งอรุณเทพบุตรเกิดออกมาก่อนกำหนดจึงรู้โกรธมากที่แม่ของตนทำให้ตนต้องพิการ จึงได้ทำการสาปให้แม่ของตนหรือนางวินตาจะต้องเป็นทาสของนางกัทรุไป 500 ปี แต่ว่าด้วยความที่เห็นว่าเป็นแม่อรุณเทพบุตรเลยให้ช่องโหว่ไว้ นั่นก็คือถ้านางสามารถรอไข่ฟองหนึ่งฟักออกมาได้ภายใน 500 ปีบุตรในขณะนั้นจะสามารถล้างคำสาปให้นางวินตาได้นั่นเอง หลังจากสาปแม่ตนเองอรุณเทพบุตรก็ลอยขึ้นฟ้าหายไป แล้วก็ทิ้งให้แม่ของตัวเอง ให้อยู่กับไข่อีกใบหนึ่งต่อไปหลังจากนั้น เวลาผ่านไปไม่นาน นางกัทรุและนางวินตาได้มีการเล่นพนันกันโดยการแข่งขันทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์ โดยมีข้อแม้ว่าหากใครที่ทายผิดจะต้องยอมเป็นทาสของคนที่ทายถูกไปถึง 500 ปี นางวินตาก็รับคำท้าทั้งที่รู้ว่าตัวเองถูกสาปให้เป็นทาสของนางกัทรุอยู่แล้ว พอตกลงกันเรียบร้อยนางกัทรุก็ได้ใช้กลอุบายให้ลูกพญานาคของตน จำแลงกายไปแทรกตัวอยู่ตามขนม้าเพื่อที่จะให้นางวินตาแพ้ และผลก็คือนางวินตาก็แพ้ แล้วก็ต้องกลายมาเป็นทาสของนางกัทรุไปถึง 500 ปี หลังจากเวลาผ่านไป 500 ปีไข่อีกใบของนางวินตา ก็ได้ฟักออกมา ซึ่งพอไข่แตกออกก็ปรากฏเป็นบุตรที่มีพละกำลังมหาศาล มีรัศมีเจิดจ้าสว่างไปถึงสวรรค์ โดยมีศีรษะมีจะงอยปากแล้วก็มีปีกเหมือนนกอินทรี แต่ว่าร่างกายมีแขนมีขาเหมือนมนุษย์ โดยมีนามว่าเวนไตร ซึ่งแปลว่าบุตรของนางวินตานั่นเอง

ตำนานพญาครุฑ เจ้าเวหา มหาอำนาจคู่บารมี

วิธีแก้คำสาปให้นางวินตา

 หลังจากนั้นเวลาผ่านไปไม่นาน พญาเวนไตร ก็ได้เติบโตขึ้นแล้วก็ทราบว่ามารดาของตน ต้องเป็นทาสของนางกัทรุ เพราะว่าแพ้อุบาย พญาเวนไตรรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมก็เลยไปขอกับเหล่าพญานาค ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของตนว่าให้ปลดปล่อยแม่ของตนออกจากการเป็นทาส ซึ่งพญานาคนี้ก็ยอมแต่ว่ามีข้อแม้คือพญาเวนไตร จะต้องไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์ลงมาให้ จึงจะปล่อยแม่ของตนไป ซึ่งพญาเวนไตร ก็ตอบตกลงก่อนที่ออกเดินทางไปชิงน้ำอมฤต พญาเวนไตรก็ได้ไปขอพรจากมารดา ซึ่งนางวินตาก็กำชับว่าระหว่างทางถ้าเกิดพญาเวนไตรหิว ให้กินเฉพาะคนป่าหรือคนเถื่อนเท่านั้น และข้อสำคัญก็คือห้ามทำอันตรายพวกพราหมณ์โดยเด็ดขาด ซึ่งพญาเวนไตรก็รับคำมารดามา และก็ได้ออกเดินทางเพื่อที่จะไปชิงน้ำอมฤตนั่นเอง

 

ออกเดินทางไปชิงน้ำอมฤต

ซึ่งหลังจากออกเดินทางไปได้ไม่ไกลพญาเวนไตรก็หิว เลยต้องหาอาหารมากินซึ่งอาหารที่รับปากไว้กับแม่ ก็คือจะต้องกินแต่พวกคนเถื่อน ซึ่งสมัยก่อนก็มีไม่เยอะก็กินไม่อิ่ม เลยไปจับเต่าและช้าง โดยคิดว่าจะเอามากินแต่ว่าเต่าและช้างที่จับมา ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา แต่มันคืออสูรที่เป็นพี่น้องกันซึ่งทั้งสองเกิดความโลภและก็แย่งชิงสมบัติกัน จนสาปกับไปมาโดยอีกคนให้เป็นเต่า และให้อีกคนเป็นช้าง ซึ่งเต่าและช้างมีขนาดที่ใหญ่โตมาก พญาเวนไตรก็ได้ใช้ปากคาบทั้งช้างและเต่าบินไปกรอกที่กิ่งไทร ซึ่งกิ่งไทรมีความยาวถึง 100 โยชน์ แต่กิ่งไทรก็ยังรับน้ำหนักพญาเวนไตรไม่ไหวเลยหักลง และเมื่อกินเสร็จก็ได้เหลือบไปเห็นว่ามีฤาษีจิ๋วหรือว่าฤาษีแคระ ที่มีขนาดเท่ากับนิ้วมือ อาศัยอยู่บนกิ่งไทรด้วย พญาเวนไตรเห็นก็เลยเอาเท้าจับกิ่งไทร ไปวางไว้ที่เขาเหมกูฏ เมื่อเหล่าฤาษีเห็นว่าพญาเวนไตรเป็นนกที่มีจิตใจงดงาม จึงให้ชื่อกับพญาเวนไตยใหม่ว่าครุฑนั่นเอง ซึ่งครุฑก็แปลว่าผู้รับภาระอันหนัก และฤาษีเหล่านี้ก็ได้ให้พรกับพญาครุฑ ว่าถ้าเกิดพญาครุฑจะทำการสิ่งใดก็จะสำเร็จตามความประสงค์ แถมยังให้พญาครุฑมีพละกำลังมหาศาลไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้นั่นเอง และพญาครุฑก็รีบไปเอาน้ำอมฤตต่อ ซึ่งพญาครุฑก็บินไปยังเทวโลก เพื่อที่จะไปเอาน้ำอมฤตพญาครุฑบินไปถึงเทวโลกก็เจอกับพระอินทร์ซึ่งเป็นผู้ดูแลรักษาน้ำอมฤต พญาครุฑก็บอกว่าจะขอเอาน้ำอมฤตไป แต่พระอินทร์ก็คงไม่ยอมทั้งสองคน จึงเกิดการสู้รบกันนั่นเอง

 

กาต่อสู่ระหว่างพญาครุฑกับพระอินทร์

ขณะที่ทั้งสองสู้รบกันไปสู้รบกันมาพระอินทร์ ก็ใช้สายฟ้าฟาดฟันใส่พญาครุฑหลายครั้ง แต่พญาครุฑก็ไม่เป็นอะไรเลย หลังจากสู้กันไปสักระยะหนึ่ง พระอินทร์ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าสู้พญาครุฑไม่ได้ แต่พญาครุฑด้วยความที่เป็นคนที่มีจิตใจงดงาม แล้วก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน พญาครุฑก็เลยสะบัดขนทิ้งไป เช่นกันเพื่อไม่ให้พระอินทร์เสียหน้ากับเหล่าเทวดา พอเรื่องนี้รู้ถึงหูของพระนารายณ์จึงได้ลงมาเจรจากับพญาครุฑ ซึ่งพระนารายณ์ก็รู้อยู่แล้วว่าพญาครุฑไม่ได้ต้องการที่จะเอาน้ำอมฤตเพื่อไปกินเอง แต่ว่าต้องการเอาน้ำอมฤต ไปให้กับพวกพญานาคเพื่อที่จะถ่ายอิสรภาพให้กับมารดาของตนเองพระนารายณ์จึงอนุญาตให้พญาครุฑ เอาน้ำอมฤตไปได้ แถมยังให้พรกับพญาครุฑด้วยว่าให้พญาครุฑได้รับอิทธิฤทธิ์จากน้ำอมฤตแม้ว่าไม่ได้ดื่มกิน และพญาครุฑก็ตอบแทนพระนารายณ์ โดยการที่จะยอมเป็นพาหนะติดตามพระนารายณ์ไปในทุกที่ และตั้งแต่นั้นพญาครุฑก็กลายเป็นพาหนะของพระนารายณ์มาโดยตลอดนั่นเอง

 

สรุป 

ตำนานพญาครุฑ หลังจากที่พญาครุฑนำน้ำอมฤตมาให้พวกพญานาค และพญานาคก็ได้ปลอดปล่อยมารดาของพญาครุฑจากคำสาป ซึ่งพญาครุฑได้นำน้ำอมฤตไปไว้บนยอดใบหญ้าคาแต่พอพญานาคจะมากินน้ำอมฤต พระอินทร์ที่ได้รับคำสั่งจากพระนารายณ์ให้ตามมาเอาน้ำอมฤตกับก็ได้แอบเอามันกับไป ซึ่งพญานาคที่เห็นก็โกรธมากจึงพากันไปเลียที่ใบหญ้าคาทำให้ใบหญ้าคาบาดลิ้นจนกลายเป็นสองแฉก จึงเป็นที่มาของสัตว์เลื้อยครานลิ้นสองแฉกนั่นเอง และพญานาคกับพญาครุฑจึงกลายมาเป็นศัตรูกันนับตั้งแต่นั้นมาตลอดนั่นเอง

ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อต่างๆอีกมากมาย ท่านสามารถติดตามที่จากเว็บนี้