ตำนานคำสาปแห่งเวียงจันทน์ ส.ป.ป.ลาว คำสาปเท้าศรีโคตร

ตำนานคำสาปแห่งเวียงจันทน์ ส.ป.ป.ลาว คำสาปเท้าศรีโคตร

ถ้าพูดถึงตำนานคำสาปของ สปป.ลาวเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อนอย่างแน่นอน ซึ่งว่ากันว่านานนับพันปีมาแล้ว แผ่นดินลาวตกอยู่ในคำสาปไม่ให้พบกับความเจริญรุ่งเรือง จนกว่าจะมีหินลอยอยู่เหนือแม่น้ำโขง หรือจนกว่าจะมีโขรงช้างเผือก และพญางูยักษ์เกิดขึ้นบนแผ่นดินลาวถึงจะพ้นคำสาปนี้ และในบทความนี้จะเล่าถึงที่มาที่ไปของ ตำนานคำสาปนี้ว่าเกิดขึ้นจากอะไรแล้วจะเป็นยังไงต่อให้ได้ติดตามกันในนี้นั่นเอง

เว็บอัพเดทข่าวสารที่เกี่ยวกับโชคลาภที่ดีที่สุดสำหรับคุณ นงน้อย.com

ตำนานคำสาป ส.ป.ป.ลาว

ตำนานนี้ถูกเล่าขานต่อกันมานานนับพันปีว่า ในอดีตกาลนั้นมีครอบครัวยากจนอยู่ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อว่าท้าวศรีเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง จิตรใจงดงามแต่ด้วยความที่ครอบครัวยากจน พ่อแม่จึงพาไปบวชอยู่ที่วัดเพื่อให้ศึกษาเล่าเรียน พอท้าวศรีอายุได้ 18 ปีก็ได้ลาสิกขา ออกมาเป็นฆราวาสเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ และถูกเรียกว่าท้าวเซียงศรีแต่พ่อแม่ซึ่งแก่ชรามากแล้ว เป็นห่วงอนาคตของลูกจึงนำไปฝากเป็นทาสรับใช้อยู่ที่เรือนพระยา ซึ่งที่นั้นมีข้ารับใช้อยู่หลายสิบคนที่ต้องคอยผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ ตัดหญ้าเลี้ยงช้างเลี้ยงม้าและก็เข้าป่าไปตักน้ำมันยางมาทำกระบองไฟ ทุกครั้งที่พวกข้ารับใช้ต้องเข้าไปทำงานให้กับพญาในป่า เท้าเซียงศรีมักจะได้รับหน้าที่ให้คอยนึ่งข้าวเหนียวและเตรียมสำหรับอาหารรอเพื่อนๆอยู่ที่พักกลางป่าเสมอ เนื่องจากมีรูปร่างที่บอบบางกว่าคนอื่น และครั้งหนึ่งที่เท้าเซียงศรีได้นึ่งข้าวเหนียวจนข้าวด้านล่างมันสุก แล้วจะต้องกลับเอาข้าวที่สุกกลับลงไปอยู่ด้านล่าง แต่ว่าท้าวเซียงศรีกลับไม่มีไม้สำหรับกลับข้าว ซึ่งในตอนนั้นมีตอไม้ท่อนหนึ่งดำสนิทขนาดประมาณ 3 คนโอบอยู่บริเวณนั้น ซึ่งในตำ นานเล่าว่ามันคือต้นงิ้วดำ แต่มันแปลกที่ไม้ต้นนี้ มีกิ่งยื่นออกมาเหมือนกับแขนและขาของคนมาก แถมขนาดก็เท่ากับแขนและขาของคนพอดี ด้วยความกลัวว่าข้าวจะไม่สุกทั่ว ท้าวเซียงศรีก็ได้นำไม้ท่อนนั้นไปใช้กับข้าวเหนียวนั่นเอง

 

ท้าวเซียงศรี

ในตอนที่กำลังกับข้าวอยู่นั้น ก็เกิดเรื่องแปลกขึ้นเพราะตรงจุดไหนที่ข้าวโดนไม้นั้นมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำสนิททันที และเมื่อท้าวเซียงศรีเห็นเลยยรีบทิ้งไม้นั้น แล้วก็แยกข้าวที่ดำออกมาจาก ข้าวที่สีปกติและได้ปั้นข้างสีดำนั้นได้หนึ่งก้อน เมื่อทำข้าวและกับข้าวเสร็จแล้ว ปรากฏว่าข้าวที่เขาหุงไม่น่าจะพอสำหรับคนที่เข้าป่าไป ท้าวเซียงศรีจำตัดสินใจกินข้าวดำก้อนนั้นแทน ซึ่งเมื่อเขาได้กินข้าวก็รู้สึกว่าร่างกายของเขามีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาลองไปยิบไม้ขนาดเท่าแขนคนมาหักดูปรากฏว่ามันหักได้โดยง่าย จึงลองไปผลักต้นไม้ใหญ่ขนาดเท่าตัวคนดูมันก็ล้มลงอย่างง่ายดาย พอเหล่าเพื่อนกลับมาท้าวเซียงศรีก็ได้ ดึงยอดต้นไม้มาให้เพื่อนดูปรากฏว่าทุกคนตกใจในพละกำลังของเขาอย่างมาก และต่อมาชื่อเสียงของท้าวเซียงศรีก็ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองและกลายเป็นที่สนใจของพระยา จึงอยากจะลองทดสอบท้าวเซียงศรีโดยการท้าให้ไปคล้องช้างป่ามามอบให้พระยา ซึ่งพอท้าวเซียงศรีไปเจอช้างป่าก็เดินเข้าไปจับช้างป่าด้วยมือเปล่า แล้วนำมามอบให้แก่พระยาได้อย่างง่ายดาย 

ตำนานคำสาปแห่งเวียงจันทน์ ส.ป.ป.ลาว คำสาปเท้าศรีโคตร

นครเวียงจันทน์

เมื่อพระยาเห็นแบบนั้น จึงคิดว่าท้าวเซียงศรีไม่น่าจะใช่คนธรรมดา จึงแจ้งข่าวไปยังนครเวียงจันทน์ เพื่อให้พระเจ้าแผ่นดินได้ทราบ ซึ้งในขณะเดียวกันนั้นเองนครก็กำลังตกที่นั่งลำบาก เนื่องจากมีฝูงช้างป่านับล้านตัวเที่ยวออกอาละวาดทำลายบ้านเรือนของชาวบ้าน เมื่อท้าวเซียงศรีทราบเรื่องเลยขออาสาไปปราบช้างที่เวียงจันทน์ให้ แต่ก่อนที่ท้าวเซียงศรี จะเดินทางไปเวียงจันทร์นั้นเขาได้เข้าไปในป่าอีกรอบ เพื่อไปยังจุดที่เขาเจอตอไม้สีดำ และเอาไม้ดำนั้นมาทำเป็นกระบองถือเป็นอาวุธประจำตัว แล้วจึงออกเดินทางไปที่นครเวียงจันทน์ เมื่อไปถึงนครเวียงจันทน์เท้าเซียงศรีก็ไม่รอช้า เข้าไปต่อสู้กับพวกช้างป่าทันที พวกช้างป่านับล้านตัวไม่สามารถสู้กำลังของท้าวเซียงศรีได้การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาอีกนาน ซึ่งท้าวเซียงศรีต่อสู่กับจ่าฝูงช้างป่านานถึง 3 วัน 3 คืน แต่สุดท้าย ช้างป่าก็พลาดท่าโดนท้าวเซียงศรีฆ่าตายในที่สุด และช้างที่เหลือจึงรีบหนีเอาตัวรอด และไม่ออกมาทำร้ายชาวบ้านอีกเลยนั่นเอง เจ้าเมืองชื่นชมในความเก่งกล้าสามารถของท้าวเซียงศรีอย่างมากเลยยกนางเขียวข่อม ลูกสาวของตนให้แก่ท้าวเซียงศรีพร้อมกับแต่งตั้งให้ท้าวเซียงศรี เป็นพระยาศรีโคตรตะบองสถาปนาเมืองเกิดของท้าวเซียงสีให้เป็นเมืองศรีโคตรตะบอง และไล่พระยาคนเดิมออกจากตำแหน่งให้พระยาศรีโคตรตะบองขึ้นปกครองแทนนั่นเอง

 

คำสาปของท้าวยาศรีโคตรตะบอง

เมื่อพระยาคนเก่าถูกไล่ออกจากเมือง ก็เกิดความคับแค้นใจอย่างมากจึงประกาศข่างลือไปว่า ขณะนี้ท้าวศรีโคตรตะบองอ้างว่าตนเป็นผู้ที่มีความเก่งกล้าสามารถที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าที่จะเป็นแค่พระยา จึงแอบไปฝึกกำลังของตนเพื่อที่จะขึ้นมาตีเอานครเวียงจันทน์ ในอีกไม่นานซึ่งข่างลือนี้ถูกพูดถึงต่อกันไปทั่วเมือง กระทั่งไปถึงหูพระเจ้าแผ่นดินเวียงจันทน์ พ่อตาของท้าวศรีโคตรตะบอง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ยินเรื่องราวนี้ก็รู้สึกไม่ดี จึงอยากจะเอาใจลูกเขยโดยการเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่จากนครหลวงเวียงจันทน์ให้เป็น นครล้านช้างเวียงจันทน์เพราะลูกเขยของตนปราบช้างได้ล้านตัวแต่พระเจ้าเวียงจันทร์ ก็ยังคงหวาดระแวงอยู่ไม่หายจึงเห็นว่าควรจะกำจัดท้าวศรีโคตรไปจะดีกว่า พระเจ้าแผ่นดินเวียงจันทน์จึงเรียกนายเขียวข่อมมเหสีของท้าวศรีโคตร ซึ่งเป็นลูกสาวของต้นมาปรึกษาเพื่อหาจุดอ่อนของเขา แต่ลูกสาวก็ไม่รู้ แล้วเมื่อนางกลับมาอยู่กับท้าวศรีโคตรนางก็เอาแต่ถามว่าสามีของตนนั้น มีจุดอ่อนตรงไหนบ้างเผื่อว่านางจะได้ช่วยระวังภัยให้ได้ และด้วยความไว้ใจคนรักของตน ท้าวศรีโคตรก็บอกว่า ตัวเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งนักทุกส่วนของร่างกายไม่มีสิ่งใดสามารถทำอันตรายได้เลย แต่ตอนที่เขาต้องขับถ่ายรูทวารต้องเปิดออกเพื่อขับของเสียออกจากร่างกายเท่านั้น เมื่อนางทราบความลับแล้วก็รีบไปบอกพระบิดาให้ทราบ พระเจ้าแผ่นดินล้านช้างเวียงจันทน์ จึงวางแผนลอบสังหารด้วยการให้ เสนาอำมาตย์สร้างกับดักไว้ในห้องน้ำเวลาที่ท้าวศรีโคตรไปถ่ายหนัก ก็จะมีหอกขึ้นมาสังหารทันที เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ดีแล้ว พระเจ้าแผ่นดินล้านช้างเวียงจันทน์ก็ได้เชิญท้าวศรีโคตรผู้เป็นลูกเขยมาเยี่ยมเยียนที่นครล้านช้างเวียงจันทน์ จัดห้องนอนห้องอาหารและห้องน้ำให้เป็นพิเศษ เมื่อมาเยี่ยมพ่อตาตามคำเชิญและก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จนกระทั่งถึงคราวที่ท้าวศรีโคตรจะต้องไปถ่ายหนักในห้องน้ำกับดักที่เตรียมเอาไว้ก็ทำงาน ท่านถูกหอกแหลมแทงจากทวารทะลุถึงคอหอยจนตาย และก่อนที่ท่านจะสิ้นลมได้กล่าวคำสาปแช่งเอาไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่แผ่นดินลาวไม่สร้างเมืองศรีโคตรตะบองให้รุ่งเรือง นครเวียงจันทน์ก็จะรุ่งเรืองไม่ได้ และถึงแม้จะรุ่งเรืองขึ้นมาได้ก็จะคงอยู่ได้นาน เพียงแค่ช้างพับหู เพียงแค่งูแลบลิ้นเท่านั้น ซึ่งวิธีที่จะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อมีหินฟูน้ำลอยอยู่กลางแม่น้ำโขง มีพญางูใหญ่ และของช้างเผือกเกิดขึ้นที่แผ่นดินลาว เพราะคนเวียงจันทน์ไม่มีสัจธรรมขนาดคนมาปราบช้างให้แล้ว ยังมาใช้อุบายรอบฆ่าตนได้ลงคอ ซึ่งหลังจากที่ท้าวศรีโคตรตายไปแล้ว เหล่าเสนาอำมาตย์ก็นำศพล่องแพกลับไปที่เมืองศรีโคตะบอง แล้วจัดการทำพิธีให้เรียบร้อย นับแต่นั้นมาชาวศรีโคตรตะบอกพร้อมใจกันสร้างพระธาตุศรีโคตรตะบองขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของท้าวศรีโคตร แล้วพากันเคารพบูชาจนมาถึงทุกวันนี้นั่นเอง 

 

สรุป 

เรื่องราวของคำสาป สปป.ลาว เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกหรือเล่าขานกันมาตั้งแต่อดีตเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ท้าวศรีโคตรตะบองที่ทำความดีให้บ้านเมืองแต่กับถูกใส่ร้ายจนตนเองต้องมาถูกลอบฆ่าโดยไร้ซึ่งสัจธรรม จึงได้สาปแช่งให้นครเวียงจันทน์ไม่เจริญจนกล่าวจะพ้นคำสาป ซึ่งปัจจุบันนี้ชาวลาวเชื่อว่าคำสาปของท้าวศรีโคตรตะบองถูกลบล้างลงแล้ว โดยตีความว่าหินฟูน้ำนั้นหมายถึงสะพานมิตรภาพไทยลาวส่วนช้างเผือกนั้นก็หมายถึงฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศลาวเป็นจำนวนมาก และก็พญางูใหญ่นั้นก็หมายถึงรถไฟนั่นเอง

ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพ สายมู ความเชื่อ และโชคลาภอีกมากมาย ท่านสามารถติดตามที่จากเว็บนี้