ตำนานความเชื่อเรื่องความรักและเนื้อคู่ ของไทย
ถ้าพูดถึงเนื้อคู่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยสงสัยกันว่า เนื้อคู่ของเราหน้าตาเป็นยังไง และเรื่องราวตำนานความเชื่อเรื่องความรัก หรือเนื้อคู่เริ่มต้นขึ้นมาได้ยังไง และในบทความนี้จะมาพูดถึงตำนานความเชื่อ เรื่องความรักว่าเกิดขึ้นมาอย่างไรและมีการพูดถึงเรื่องราวนี้อย่างไรบ้างมาติดตามได้ในบทความนี้นั่นเอง
นงน้อย.com เว็บอัพเดพข่าวสาร เกี่ยวกับเรื่องโชคลาภ
ความเชื่อเรื่องความรักทางยุโรป
ความเชื่อเรื่องเนื้อคู่มีกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งทางฝั่งยุโรปก็มีบันทึก เก่าแก่ที่สุดที่พูดถึงเรื่องราวของเนื้อคู่เอาไว้ ตั้งแต่ช่วงของยุคกรีกโบราณ ซึ่งเป็นบันทึกการเสวนาที่มีชื่อว่า The Symposium ของเพลโตนักปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 427 ถึง 347 ปีก่อนคริสตกาล การเสวนานี้พูดถึงเรื่องราวของการตามหาเนื้อคู่เอาไว้ ว่าแต่เดิมมนุษย์ไม่ได้มีรูปลักษณะอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งในยุคเริ่มต้นนั้นมนุษย์จะมีรูปร่างอ้วนกลมมีขา 4 ขามีแขน 4 แขนมีใบหน้า 2 หน้าเหมือนกับคนสองคนที่มีตัวติดกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมนุษย์ในยุคนี้จะถูกจำแนกออกเป็น 3 ประเภทนั่นก็คือ แบบที่ผู้ชายติดอยู่กับผู้ชาย ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ แบบที่ 2 ก็เป็นผู้หญิงติดอยู่กับผู้หญิงซึ่งถือกำเนิดจากโลก และก็แบบที่ 3 ซึ่งถูกคือเป็นผู้หญิงติดอยู่กับผู้ชาย ซึ่งเกิดมาจากพระจันทร์ มนุษย์ในยุคนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างมาก มีพละกำลังมหาศาลแข็งแกร่งระดับที่ว่าสามารถต่อกรกับเทพเจ้าได้เลย พอมนุษย์เริ่มขยายเผ่าพันธุ์และมีความอำมหิตในใจเพิ่มมากขึ้น ก็เริ่มพากันไปรังควานเทพเจ้าอยู่เสมอจนเทพซุส ค้นพบหนทางที่จะลดพลัง และก็อบรมมารยาทให้กับเหล่ามนุษย์ทรงกลมพวกนี้ โดยการผ่ามนุษย์ให้แยกออกจากกันเป็น 2 ส่วนโดยแต่ละส่วน จะกลายเป็นมนุษย์ที่มี 2 แขน 2 ขาเหมือนอย่างที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ว่าทั้งสองส่วนที่แยกออกจากกันยังคงโหยหาอีกครึ่งหนึ่งที่หายไปของตนอยู่เสมอ ทำให้เวลาที่มนุษย์แต่ละครึ่งได้มาพบเจอคู่ของตนเองก็จะพุ่งเข้าหากันกอดรัดกันไว้ เหมือนว่าจะหลอมรวมเข้าด้วยกันอีกครั้งและจะไม่แยกจากกันอีก ซึ่งถ้าหากมนุษย์ได้ไปอยู่กับอีกครึ่งหนึ่งที่ไม่ใช่คู่แท้ของตนเองก็จะไม่มีแรงดูดกันเอาไว้ ทำให้ต้องพลัดพรากจากกันเพื่อไปตามหาคู่แท้ของตนเองต่อไป ส่งผลให้มนุษย์หลายๆคนจะต้องเที่ยวออกตามหาอีกครึ่งที่หายไปของตนราวกับว่าถูกสาปเอาไว้ยังไงอย่างงั้นเลยนั่นเอง ซึ่งความเชื่อแบบกรีกโบราณนี้ก็จะต่างจากความเชื่อของทางฝั่งเอเชียอยู่
ความเชื่อทางฝั่งเอเชีย
ทางฝั่งเอเชียมีความเชื่อว่าคู่แท้ของเราทุกคนได้ถูกกำหนด และถูกดึงให้ต้องมาเจอกันด้วยด้ายแดงแห่งโชคชะตาที่ผูกเอาไว้โดยเทพเจ้าที่มีชื่อว่าผู้เฒ่าจันทรานั่นเอง ซึ่งตำนานความเชื่อ เรื่องความรัก หรือด้ายแดงแห่งโชคชะตานั้น มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนเป็นอีกหนึ่งความเชื่อของลัทธิเต๋า ที่ยังคงได้รับการนับถือบูชามาจนถึงปัจจุบันนี้และกระจายตัวไปทั่วในแถบเอเชียตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ไต้หวันฮ่องกง หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็มีความเชื่อเรื่องนี้อยู่ด้วย โดยตำนานด้ายแดงแห่งโชคชะตานั้น พูดเอาไว้ว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีเทพเจ้าแห่งความรักท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เฒ่าที่มีด้ายแดงติดตัวอยู่เสมอ เรียกกันว่าเทพเจ้าจันทราหรือผู้เฒ่าจันทรา เป็นเทพผู้ควบคุมและกำหนดคู่ชายหญิง ที่จะต้องมาแต่งงานกันตามความเชื่อของชาวฮั่น โดยผู้เฒ่าจันทรา จะผูกด้ายแดงเอาไว้ที่นิ้วของชายหญิงที่เป็นเนื้อคู่กันเอาไว้ ซึ่งด้ายแดงเส้นนี้จะมีความยาว จนสามารถพันรอบโลกของเราได้ถึง 2 รอบ ดังนั้นเมื่อใครถูกกำหนดให้เป็นคู่กันแล้ว ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายเพียงใดก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่สมควรที่จะต้องแต่งงานกันแล้ว ด้ายแดงก็จะค่อยๆหดกลับเข้ามาหากันเพื่อให้หนุ่มสาวคู่นั้นได้เจอกัน และได้แต่งงานครองคู่กันในที่สุดตามคำกล่าวที่ว่า “ห่างกันพันลี้แสนไกลบุพเพเชื่อมไว้ด้วยด้ายแดง” ทำให้คนที่เป็นคู่กันแล้วยังไงก็ต้องเจอกันในที่สุด ซึ่งด้ายแดงนั้น จะขาดก็ต่อเมื่อทั้งคู่ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วเท่านั้นนั่นเอง
สรุป
ตำนานความเชื่อ เรื่องความรักและเนื้อคู่ของไทย ได้รับอิทธิพลมากจากความเชื่อของประเทศจีนที่เล่าถึงด้ายแดงแห่งโชคชะตา ว่าถ้าหากใครที่เกิดมาเป็นคู่กันแล้วจะมีด้ายแดงนี้เชื่อมต่อกันอยู่จนถึงเวลาที่เหมาะสม ด้ายแดงนี้ก็จะนำพาคนทั้งคู่ให้มาเจอกันและแต่งานคลองรักกันจนลมหายใจสุดท้ายได้ดับลงไปนั่นเอง ซึ่งตำนานความเชื่อเรื่อง ความรัก ก็ยังมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกซึ่งแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันออกไปแต่มีสิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือผู้ที่เป็นเนื้อคู่กัน มักจะมีอะไรเชื่อมต่อกันอยู่และสิ่งนั้นจะนำพาให้คนทั้งสองมาเจอกันและได้รักกันในที่สุดนั่นเอง
ก่อนจากกันวันนี้ ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยว โชคลาภ ให้ท่านได้อ่าน